เริ่มต้นสู่การผจญภัยก้าวแรกของชีวิต

ปี 2528 เป็นปีที่ผมจบการศึกษาโรงเรียนประถมการศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนวัดสันป่าสัก จังหวัดลำพูน และในตอนนั้นก่อนที่จะจบอาจารย์จะแนวว่าทุกคนจะจบและไปทำอะไรกันต่อ ไปศึกษาต่อที่ไหน ผมมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ ประถม 5 แล้วคุณอาบุญธรรม คำบุญเรืองซึ่งเป็นน้องของพ่อ จะพามาทำงานที่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้หรอกว่ากรุงเทพฯ มันเป็นอย่างไรเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แต่นั่นก็เป็นจุดหมายแรกที่ผมบอกคุณครูไป

myfamily

เริ่มต้นสู่การผจญภัยก้าวแรกของชีวิต

ปี 2528 เป็นปีที่ผมจบการศึกษาโรงเรียนประถมการศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนวัดสันป่าสัก จังหวัดลำพูน และในตอนนั้นก่อนที่จะจบอาจารย์จะแนวว่าทุกคนจะจบและไปทำอะไรกันต่อ ไปศึกษาต่อที่ไหน  ผมมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ ประถม 5 แล้วคุณอาบุญธรรม คำบุญเรืองซึ่งเป็นน้องของพ่อ จะพามาทำงานที่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้หรอกว่ากรุงเทพฯ มันเป็นอย่างไรเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แต่นั่นก็เป็นจุดหมายแรกที่ผมบอกคุณครูไป

เตรียมตัวสู่โลกกว้าง

ผมตื่นเต้นมากที่จะได้มาอยู่กรุงเทพฯ อย่างที่บอกว่าผมยังไม่รู้จักกรุงเทพฯ เพียงแต่รู้ว่าจะต้องไปทำงานกับคุณอาซึ่งเป็นร้านเบเกอรี่  สิ่งที่ผมทำคือ พยามรวบรวมของเล่นไวเด็กของผมใส่กล่องใบหนึ่ง เพื่อนำไปกรุงเทพฯ ด้วย ช่วงวัยเด็กผมจะมีของเล่นเยอะ แต่เป็นของเล่นที่ไม่ต้องซื้อ เพราะส่วนใหญ่จะสร้างมันขึ้นมาเล่นเอง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องสร้างของเล่นขึ้นมาเล่นเอง อาจเป็นเพราะครอบครัวของเรายากจน ไม่มีเงินซื้อของเล่นดีๆ  และอาจเป็นไปได้ที่คุณพ่อของผมเป็นช่าง อีเล็กทรอนิกส์ เลยมีเครื่องมือที่จะทำอะไรเล่นเยอะ และเห็นตัวอย่างคุณพ่อซ่อมพวก วิทยุ ทีวี และอะไรอีกหลายอย่าง ผมคิดว่าพ่อผมซ่อมได้ทุกอย่างเลย  ผมจึงสนุกกับการงัดแงะ ของเล่น ที่เก่าๆ ที่ผมเก็บได้จากถังขยะ หรือ ที่เขาทิ้งแล้ว นำมาซ่อมเล่น จึงทำให้ผมสนุกโดยที่ไม่ต้องซื้อของเล่นใหม่ๆ

หนังสือวิทยาศาสตร์ เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมนำไปกรุงเทพฯด้วย ผมรวบรวมได้ 1 ลังเบียร์ เพราะผมชอบสิ่งที่อยู่ในหนังสือมากๆ  คุณพ่อจะมีหนังสือวิทยาศาสตร์เยอะมาก ซึ่งมันจะมีโครงงานอีเล็กทรอนิกส์ และผมก็ชอบอ่าน และนำโครงการอีเล็กทรอนิกส์มาทดลองทำอยู่ร่ำไป  เพราะหลังจากที่ผมพอจะรู้เรื่องบ้างแล้ว พ่อผมก็จะสอนพื้นฐานอีเล็กทรอนิกส์ คือการอ่านค่าสีของตัวต้านทาน (Resister) และการบัดกรี อุปกรณ์ต่างๆ บนแผ่นปริ้นต์ และสอนวิธีการกัดแผ่นปริ้น  ซึ่งผมก็ได้ทดลองทำ วิทยุรับส่ง 200 เมตร และอีกหลายๆ อย่างที่มันไม่ยากเกินไปตามหนังสือวิทยาศาสตร์นั้นด้วย

นอกจากจะนำหนังสือวิทยาศาสตร์หนึ่งลังเบียร์เต็มๆ ผมยังขนเครื่องมือ และอุปกรณ์อีกเล็กทรอนิกส์ไปด้วย เพราะผมตั้งใจว่า ผมต้องเป็นนักประดิษฐ์ หรือนักวิทยาศาสตร์สักวันหนึ่ง เพราะเป็นความฝันในวัยเด็กของผม  แต่จุดหมายแรกที่ผมต้องไปทำก็คือพนักงานทำความสะอาดในร้านเบเกอรี่ที่กรุงเทพฯ

mochit

อุปสรรค์คือส่วนหนึ่งของการเดินทาง

ผมจะมีโรคประจำตัวอยู่ และยังติดมาถึงปัจจุบัน แม้มันจะน้อยลง และไม่ค่อยเป็นแล้ว คือผมจะเวียนศีรษะ และอาเจียนมากๆ หากต้องเดินทางด้วยรถยนต์ไปที่ไหนไกลๆ ตอนที่ผมอยู่โรงเรียน การไปทัศนาจรที่ไหนสักที่หนึ่ง ผมมักจะคนเฝ้ารถประจำเพราะผมไปดูสิ่งต่างๆ ที่คุณครูพาไปไม่ไหว  ผมจะไปทัศนจรทุกครั้ง แต่ก็จะอาเจียนและลุกไม่ขึ้น ต้องนอนอยู่บนรถบัสทุกครั้งไป เพราะอาเจียนจนหมดแรง   ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมมากรุงเทพฯต้องเดินทางโดยรถโดยสาร ผมก็อาเจียนตั้งแต่ ลำพูน จนถึงกรุงเทพฯเลย อาเจียนจนเพลีย และไม่อะไรจะให้อาเจียนอีก ตอนนั้นผมอายุ 12 ก็ยังถือว่าเด็ก และยังไม่มีอาการอายเกิดขึ้น  แต่ปัจจุบัน หากจำเป็นต้องเดินทาง ผมมักจะทานยาป้องกันเสมอๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยอาเจียนแล้วก็ตาม

ครั้งแรกบนถนนชีวิตในกรุงเทพฯ

วันที่ผมถึงกรุงเทพฯ ผมต้องนอนพักผ่อนอีกหนึ่งวันที่บ้านคุณอา เพราะเพลียมากๆ  บ้านของคุณอาจะอยู่ที่ถนนพัฒนาการ ซึ่งตอนนั้นเป็นถนน 2 ช่องจราจร และเป็นทุ่งนา บ้านของคุณอาจะเข้าซอย 11 ถนนพัฒนาการ แล้วเดินข้ามครองดำๆ แล้วข้ามไปฝั่งอีกฝั่งซึ่งเป็นบ้านไม้ติดกันเป็นแพ และมีน้ำเน่าๆ สีดำอยู่ข้างใต้ถุน และทางเดินจะเป็นสะพานไม้ ยาวๆ ไปยังหน้าบ้านของแต่ละบ้าน ถ้าใครเดินไม่ระวังก็อาจตัวดำได้เพราะอาจตกไปน้ำดำๆ ได้ ที่แน่ๆ มันมีกลิ่นเหม็นด้วยๆ  คุณอาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรตอนนั้น และก็ทราบภายหลังว่า นี่คือสลัมคลองตัน เมื่อถึงบ้านอาแล้ว ผมก็จัดการเก็บข้าวของ ต่างๆ แล้วก็นอนสลบไปเลยเป็นวันๆ

Comments

comments