ตลอดเดือนนี้ทั้งเดือน(กันยายน 2558) ผมจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับความฝัน ความฝันในที่นี้ คือ เป้าหมายในชีวิตครับ และถือว่าเป็นการทบทวนความฝันของผมเองด้วย ซึ่งมีหลายอย่างที่ยังไปไม่ถึงฝัน แม้จะมีหลายข้อที่ทำได้แล้ว และอีกหลายข้อต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับความฝันสุดท้ายในชีวิต
และที่ต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ ก็เพราะมีน้องๆ หลายคนเล่าว่า รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ห่อเหี่ยวไม่มีแรงใจทำงาน ไม่มีกำลังใจในการก้าวต่อไปข้างหน้า จะทำอะไรดีถึงจะรวย มีงานให้ทำมั้ย ซึ่งบางทีมันก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่ก็ต้องกลับมามองว่า เราอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร เรามีความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตมั้ย แล้วมันคืออะไร สำคัญด้วยเหรอ “คนเรามันต้องอยู่กับความจริงสิ!!!” จะอยู่กับความฝัน แล้วมันจะเป็นจริงได้เหรอ และอะไรต่อมิอะไรที่พรั่งพรูออกมา ซึ่งผมก็จะรับฟัง แล้วให้การบ้านไปทำ 2 ข้อ คือ ให้เวลา 1 อาทิตย์ ถึง หนึ่งเดือน ไปทำสิ่งต่อไปนี้มา คือ
1. เขียนความฝันของตัวเอง ว่าอยากได้อยากมีอะไรในชีวิตนี้ ออกมาให้มากที่สุด และขอเน้นด้วยว่า ให้เป็นความฝันน่ะ ไม่ใช่ความจริงๆ ความฝันไม่ต้องเสียเงินซื้อ ฝันให้เยอะๆ
2.เบื้องหลังความฝันนี้ จะทำไปเพื่ออะไร อยากได้ตามความฝันแค่ไหน หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร หรือไม่ได้ไม่ได้ต้องได้
ทำไมต้องเขียนความฝัน ผมจะยังไม่บอกในตอนที่หนึ่งนี้ แต่อยากจะให้อ่านเรื่องต่อไปนี้ครับ เพราะนี้คือพลังของความฝัน ซึ่งผมนึกถึงทุกครั้ง หากได้ฟังเรืองราวนี้ วันนี้ก็เช่นกัน มีเรื่องนี้ผ่านเข้ามาทางหน้าเฟชบุ๊ค เรื่องนี้ชื่อ “อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของคุณ”
.
เรื่องของเด็กชายอายุ 16 ปีคนหนึ่ง ชื่อว่า มอนตี้
ซึ่งคุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง “โตขึ้นอยากเป็นอะไร”
มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษถึงความฝันของเขา
ที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต
บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
.
เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุก ๆ ส่วน
แต่เมื่อเขานำไปส่งกลับได้คะแนน “F”
และเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
.
หลังเลิกเรียน มอนตี้ ก็เขาไปพบคุณครู
และถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ “F”
ก็ได้รับคำตอบว่า
“สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัว
ของมอนตี้จะสามารถทำได้
.
แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา
แต่คุณครูไม่รับฟังและขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่
โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้าง
แล้วจะแก้คะแนนให้
.
มอนตี้ก็กลับบ้านและนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา
ซึ่งพ่อของเขาก็ให้คำตอบว่า
“ เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่า การตัดสินใจของลูกครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน… ”
.
มอนตี้ ไคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า
….”ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกัน ผมจะรักษาความฝันของผมไว้”
.
มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนเขาฟังพร้อมกล่าวว่า
“ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟังเพราะว่าขณะนี้คุณกำลังนั่งอยู่หน้าเตาพิงในบ้าน พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ซึ่งตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์ และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้นได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาพิง”
.
และเขาได้เล่าต่อว่า ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ
ในฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้ว คุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คนมาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า
มอนตี้ สมัยครูเป็นครูของเธอ ครูคงเป็น นักขโมยความฝัน
” ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็ก ๆ ไปตั้งมากมาย แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ”
.
สรุป จงระวัง…ความฝันของคุณอย่ายอมให้ใครขโมยมันไปได้
ครับ และนี้เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของพลังความฝันครับ ถามว่าความฝัน ก๊อปปี้กันได้มั้ย ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว ความฝันของใครของมันครับ จะเล็กบ้างใหญ่บ้าง ก็แล้วแต่ใครจะฝันถึงมัน และทำตัวเองให้มีคุณค่าพอที่จะเป็นเจ้าของหรือไม่ ดังนั้น ความฝันต้องเขียนขึ้นเอง จงเขียนพิมพเขียวชีวิตของคุณตั้งแต่วันนี้ครับ ถ้ายังไม่มี หรือถ้ามีแล้ว ก็นำมาทบทวนบ่อยๆ ครับ ว่าเป้าหมายของเราถึงใหนกันแล้วครับ
แล้วพบกับตอนต่อไป “ไล่ล่าความฝัน” จะมีชื่อตอนอย่างไร ก็รอชมกันน่ะครับ อย่าลืมกด like ในเพจด้วยนะครับ มีบทความใหม่ๆ จะได้ส่งไปให้อ่านถึงหน้าวอลครับ
.
ขอบคุณครับ Mr.Farmer เครดิต : www.oknation.net #BeDoHave #กฎแรงดึงดูดยิ่งใช้ยิ่งสำเร็จ